วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

วิธีแก้ปัญหา Virus Win32.Sality.aa


ลักษณะการทำงาน
* Win32/Sality.NAR มันจะจำลองตัวเองเป็นไฟล์ที่ติดเชื้อ
*มันจะเข้าไปทำให้ Firewall เราไม่ทำงาน
*ไวรัสตัวนี้จะจำลองตัวเอง โดยการค้นหา drives ทุกๆ drive ไม่ว่าจะเครื่องคุณเอง หรือใน เน็ตเวิร์ค!! มันจะเข้าไปแตกไฟล์ .exe และแฝงตัวโดยเพิ่มบางส่วนเข้าไปในไฟล์ .exe นั้น เมื่อเรามีการ run ไฟล์ .exe ขึ้นมาตามปกติ เจ้าไวรัสตัวนี้มันก็จะถูกเปิดขึ้นมาด้วย เพราะระบบจะบอกเป็นโปรแกรมพื้นฐานที่เราต้องเปิด
* ไวรัสมันจะมาแก้ไข registry ลองสำรวจดูครับ ว่าใน run มีอะไรแปลกปลอมหรือเปล่า
*ฉะนั้น!! จากข้างต้น ไวรัสจะถูกเข้าถึงทุึกครั้งที่เครื่องเรา start ขึ้นมา
* และมันจะแพร่กระจายไปตาม Flash Drive, Thumb Drive แล้วแต่จะเรียกนะ มันจะเข้าไปแล้ว copy ตัวเองแฝงไว้ที่ directory แรก นั่นคือเปิดไปก็เจอเลย โดยมันจะ "สุ่ม ชื่อ" (หาใน google ยังไงก็ไม่เจอ) ที่มีนามสกุล ดังนี้ .exe .pif .cmd
* จากนั้นก็ทำการฝัง autorun.inf เข้าไปด้วย
* เมื่อเอา flash drive ไปเสียบ ที่ไหน ไวรัสมันก็จะ run ทันทีครับ
* มันจะลบไฟล์พวก *.vdb *.avc *drw*.key
* และซ้ำร้าย มันยังไปสั่งไม่ให้โปรแกรมพวกนี้ทำงานด้วยครับ !! ทำนองเดียวกับ anti_antivirus ที่ผมเคยเจอเลย มันจะ block ไม่ให้พวกโปรแกรม anti-virus ทำงานครับ
* และอื่น ๆ อีกมากมาย

วิธีแก้ไวรัส sality โดยใช้โปรแกรมช่วยแก้ไวรัสของแอนตี้ไวรัส KASPERSKY
ไวรัสตัวนี้ติดกันเยอะติดกันมานาน หลักการทำงานของไวรัส ตัวนี้คือ เมื่อติดแล้วจะเข้าไปฝังอยู่ในไฟล์นามสกุล .exe ในเครื่องของเรา
ยิ่งติดนานยิ่งฝังไปทุกโปรแกรมเลย ไม่เว้นแม้แต่โปรแกรมแอนตี้ไวรัสก็โดนไวรัสตัวนี้เกาะแล้วทำให้แอนตี้ไวรัสทำงานไม่ได้เลย
แนวทางการแก้ไขและเครื่องมือช่วยแก้ไวรัสตัวนี้ผมนำมาจากเว็บ KASPERSKY ครับ
เริ่มแก้กันเลยครับ

เตรียมไฟล์มาก่อนครับ

1.โหลดไฟล์ช่วยหยุดไวรัสมาก่อนครับ SALITY_OFF.ZIP

http://www.webphand.com/sality/Sality_off.zip

2.ไฟล์โปรแกรมแอนตี้ไวรัสKaspersky Internet Security 7.0 (หากเครื่องคุณมีแอนตี้ไวรัสอยู่ให้ลบทิ้งไปเลยครับ)

http://www.webphand.com/sality/kis7.0.1.325en.zip

3.ไฟล์ซ่อมอาการเข้า safmode ไม่ได้สำหรับ

  • win xp >> http://www.webphand.com/sality/SafeBootWinXP.zip
  • win vista >> http://www.webphand.com/sality/SafebootVista.zip
  • win 2000 >> http://www.webphand.com/sality/SafeBootWin200.zip
  • win server 2003 >> http://www.webphand.com/sality/SafeBootWinServer2003.zip
  • ปิด Autorun >> http://www.webphand.com/sality/Disable%20autorun.zip[/b]


    ขั้นตอนการแก้ไข
    ข้อควรจำนะครับหลังจากโหลดไฟล์เสร็จแล้วไม่ต้องคลายออกมาจาก Zip นะครับ คลายออกปุ๊บโดนมันเกาะปั๊บแน่ๆครับ
    ให้เปิดไฟล์ Sality_off ในไฟล์ zipเลยครับ
    ไม่ต้องคลายออกมาครับ เปิดแล้วโปรแกรม Sality_offจะทำการสแกนและหยุดไวรัส Salityครับ รอจนเสร็จครับ
    อาจจะนานหน่อยก็ต้องรอครับ โดยโปรแกรมนี้จะสแกนทุกๆไดว์ฟทุกๆไฟล์ที่น่าสงสัยว่า Salityเกาะอยู่ครับ
    เมื่อเสร็จแล้วจะขึ้นให้คุณกดปุ่มใดก็ได้ครับ แล้วก็ติดตั้งแอนตี้ไวรัสเลยครับ หรือหากมี kaspersky อยู่แล้วก็ให้รีสตาร์ทเครื่องเลยครับ
    หรือหากไม่มีต้องติดตั้งก่อนครับ เมื่อติดตั้งเสร็จแล้วก็สแกนเลยครับ
    ระหว่างที่สแกนก็จะพบว่าไฟล์โปรแกรมของเราโดนไวรัสเกาะอยู่ kaspersky จะถามเราว่าจะทำอย่างไร ให้เรากด Disinfect ครับเพื่อที่จะลบไวรัสออกจากไฟล์โปรแกรมของเรา



    แต่บางไฟล์โดนไวรัสเกาะลึกเกินไปก็ไม่สามารถลบไวรัสออกจากไฟล์ได้ kaspersky จะขึ้นมาถามอีกครั้งโดยที่จะมีให้กด แค่ deleted กับ Skip
    ให้กด deleted เลยครับหากเป้นโปรแกรมสำคัญหรือไฟล์สำคัญให้เราจำไว้ครับ แล้วไปก๊อปไฟล์นี้จากเครื่องอื่นที่ไม่โดนไวรัสเกาะมาใส่แทนครับ
    ระหว่างสแกนไวรัสนั้นหาก kaspersky ขึ้นมาถามให้คุณกดปุ่มลบไวรัสบ่อยๆ หากเราไม่อยากต้องคอยกดปุ่ม deleted ก็ให้คลิกถูกหน้าบรรทัด
    Apply to all kaspersky ก็จะไม่ถามอีกครับ

    หลังจากสแกนเสร็จแล้วเราอยากทราบว่า kaspersky ได้กักหรือลบไฟล์ของเรามีไฟล์อะไรบ้างนั้นให้ดับเบิ้ลคลิกไอคอน kaspersky มุมขวาล่างแล้ว
    คลิกดังรูปก็จะเห็นไฟล์ที่โดนกักไว้ครับ ให้ลากคลุมแล้วกดปุ่ม deleted เลยครับ



    ต่อไปก็เปิดไฟล์ซ่อมอาการเข้า safmode ไม่ได้ครับ เลือกเอาครับว่ากำลังใช้วินโดว์อะไรอยู่
    แล้วก็เปิดไฟล์ ปิดออโต้รันด้วยครับ ช่วยป้องกันไวรัสจากแฟลชไดว์ฟได้อีกระดับหนึ่งครับ
    ไฟล์ซ่อมอาการเข้า safmode ไม่ได้สำหรับ
  • win xp >> http://www.webphand.com/sality/SafeBootWinXP.zip
  • win vista >> http://www.webphand.com/sality/SafebootVista.zip
  • win 2000 >> http://www.webphand.com/sality/SafeBootWin200.zip
  • win server 2003 >> http://www.webphand.com/sality/SafeBootWinServer2003.zip
  • ปิด Autorun >> http://www.webphand.com/sality/Disable%20autorun.zip

วิธีการแก้ปัญหาและเพิ่มความเร็วให้กับฮาร์ดดิสก์แบบเศรษฐกิจพอเพียง



การเป็นเจ้าของและใช้งานฮาร์ดดิสก์โดยไม่เคยสแกนตรวจสอบก็เหมือนกับการมีรถยนต์คันหรูที่เอาแต่ขับอย่างเดียวไม่เคยเข้าศูนย์บริการ ซึ่งทิปต่อไปนี้สามารถกระทำได้โดยไม่ต้องลงแรงมากนัก เพียงแค่เจียดเวลาสักนิดในการปฏิบัติตาม ทั้งนี้ก็เพื่อให้ฮาร์ดดิสก์ของคุณกลับมามีชีวิตชีวาเหมือนใหม่และทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

1. สแกนหาไวรัส
จัดเป็นข้อควรปฏิบัติที่สำคัญเป็นอันดับต้นๆ ที่คุณควรให้ความสำคัญและหมั่นทำเป็นประจำ เราคงไม่ต้องบอกคุณแล้วว่าไวรัสในปัจจุบันนั้นมีฤทธิ์เดชร้ายแรงแค่ไหน เอาเป็นว่าให้คุณลองนึกถึงตอนที่ไฟล์ข้อมูลสำคัญในฮาร์ดดิสก์ถูกทำลายหรือเสียหายเพียงแค่เพราะว่าคุณไม่ได้ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสเอาไว้ในเครื่อง หรือใครที่ติดตั้งเอาไว้แล้วก็ไม่ควรชะล่าใจ ลองตรวจสอบวันที่ของฐานข้อมูลไวรัส (Virus Definition) ถ้าเก่าเกินกว่า 30 วันก็ควรรีบทำการอัพเดตให้เป็นเวอร์ชันปัจจุบันเพื่อการป้องกันที่เต็มประสิทธิภาพ จากนั้นทำการสแกนฮาร์ดดิสก์ทั้งหมดที่ติดตั้งอยู่ในระบบ ถ้าเป็นไปได้แนะนำให้กำหนดตารางเวลาในการสแกนเป็นประจำทุกสัปดาห์

2. ปัดกวาดไฟล์หรือขยะที่ไม่ได้ใช้
ยิ่งใช้งานเครื่องมานานเท่าใด ไฟล์ข้อมูลเก่าๆ หรือขยะในเครื่องก็จะเพิ่มพูนมากขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นไฟล์ข้อมูลเก่า โปรแกรมเก่า ไฟล์ชั่วคราวที่หลงเหลือจากการท่องอินเทอร์เน็ตรวมทั้งไฟล์ที่ตกค้างจากการติดตั้งโปรแกรมในโฟลเดอร์เก็บไฟล์ชั่วคราวของวินโดว์ส ซึ่งวิธีการง่ายๆ ในการกำจัดไฟล์ขยะเหล่านี้ก็คือการใช้ยูทิลิตี้ Disk Cleanup ของวินโดว์สหรือจากออปชันทำความสะอาดไฟล์ในโปรแกรม IE โดยตรง (Tools -> Internet Options)

3. กำจัดขยะในซอกหลืบ
แม้ว่าคุณจะทำการลบไฟล์ขยะด้วยตัวเองไปแล้ว แต่ก็ยังอาจมีเศษขยะที่มองไม่เห็นตกค้างอยู่ในฮาร์ดดิสก์ของคุณอีกมากมาย โดยเศษขยะในที่นี้หมายรวมถึงบรรดาสปายแวร์หรือแอดแวร์ต่างๆ ด้วย ซึ่งวิธีการตรวจสอบหาขยะเหล่านี้จำเป็นต้องใช้เครื่องมือพิเศษคือโปรแกรมอย่างเช่น Ad-aware หรือ Spybot Search & Destroy ที่หาดาวน์โหลดได้ฟรีจากอินเทอร์เน็ต ที่สำคัญคืออย่าลืมอัพเดตฐานข้อมูลให้กับโปรแกรมดังกล่าวก่อนเริ่มทำการสแกนระบบด้วย

4. หมั่นใช้สแกนดิสก์

เมื่อใดก็ตามที่พื้นที่เก็บข้อมูลในฮาร์ดดิสก์เกิดบกพร่องเสียหาย เรามักจะใช้คำแทนจุดบกพร่องนั้นๆ ว่า “Bad Sector” ซึ่งมีความหมายว่าบริเวณพื้นผิวของจานมารดาเหล็กเกิดความเสียหายจนไม่สามารถทำการอ่านข้อมูลได้ ซึ่งวิธีการแก้ไขนั้นคือการใช้ยูทิลิตี้ Scandisk ของวินโดว์สในการตรวจสอบหาจุดที่เกิด Bad Sector และย้ายข้อมูลที่อยู่ในบริเวณนั้นๆ ไปยังเซกเตอร์อื่นๆ ที่ปกติทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของไฟล์ข้อมูล โดยในหน้าต่างยูทิลิตี้ Scandisk นั้นให้คุณเลือกออปชัน Scan for and attempt recovery of bad sectors ด้วยก่อนเริ่มทำการสแกน นอกจากนี้หากคุณใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 98/Me แนะนำให้ปิดการทำงานของสกรีนเซฟเวอร์ก่อนเริ่ม Scandisk ด้วย

5. จัดเรียงข้อมูลให้เป็นระเบียบ

โปรแกรม Defragmenter ที่ไม่ต้องเสียเวลาหาให้ไกลเพราะมีอยู่ในวินโดว์สทุกเวอร์ชันแล้วนั้นจะช่วยในการจัดเรียงข้อมูลที่ถูกเขียนลงฮาร์ดดิสก์อย่างสะเปะสะปะให้มีระเบียบและเป็นชิ้นเป็นอันมากขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อให้หัวอ่านฮาร์ดดิสก์ไม่ต้องทำงานหนักและใช้เวลาในการอ่านข้อมูลสั้นลง และโปรดอย่าเข้าใจผิดคิดว่าโปรแกรมจะจับไฟล์ในโฟลเดอร์ของคุณไปสลับสับเปลี่ยนหรือเรียงไว้ในโฟลเดอร์อื่นๆ จนหาไม่เจอ เพราะการ Defrag นั้นจะทำการจัดเรียงไฟล์ข้อมูลบนดิสก์เท่านั้นไม่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างการเก็บไฟล์ในวินโดว์สแต่อย่างใด


6. เก็บทุกอย่างให้เข้าที่
ขั้นตอนนี้จะเรียกว่าเป็นวินัยส่วนตัวก็ว่าได้ เพราะไม่ว่าจะเป็นลิ้นชักตู้เสื้อผ้าหรือฮาร์ดดิสก์ก็ล้วนต้องการระบบระเบียบในการจัดเก็บที่ดีด้วยกันทั้งนั้น ฟังดูอาจเป็นงานที่น่าชอบมาก แต่ถ้าฝึกให้เป็นนิสัยตั้งแต่แรกก็แทบจะไม่ต้องทำอะไรเลย ส่วนใครที่ยังเก็บไฟล์ทุกชนิดทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นไฟล์เอกสารเวิร์ด ไฟล์รูปภาพ ไฟล์วิดีโอ ไฟล์เพลง ฯลฯ ปนกันมั่วไว้ในโฟลเดอร์เดียวกัน เตรียมตัวเตรียมใจกับเรื่องปวดหัวในการค้นหาไฟล์เมื่อต้องการใช้งานให้ดี แต่ถ้าไม่อยาก ... ก็สละเวลาจัดการจัดไฟล์ลงโฟลเดอร์ให้เรียบร้อยเสียตั้งแต่วันนี้

7. แบ็กอัพข้อมูล
ไม่มีฮาร์ดดิสก์รุ่นไหน ยี่ห้อใด ที่จะมีอายุยืนยาวอยู่กับคุณไปตลอดกาล แต่ถึงแม้ในที่สุดฮาร์ดดิสก์ของคุณจะหมดอายุขัย ก็ไม่ได้หมายความว่าข้อมูลทั้งหมดที่เก็บอยู่ในนั้นจะสูญหายไปด้วย เพียงแต่สิ่งที่คุณควรต้องหมั่นทำเป็นกิจวัตรก็คือการแบ็กอัพไฟล์ข้อมูลสำคัญๆ เก็บไว้ในฟล๊อบปี้ดิสก์ แผ่นซีดี ดีวีดี หรืออื่นๆ ที่ไม่ใช่ฮาร์ดดิสก์ตัวที่ใช้งานอยู่ หรือถ้าที่กล่าวมานั้นมันยุ่งยากหรือทำให้คุณลำบากเกินไป แนะนำให้ใช้ทัมป์ไดรฟ์ที่ปัจจุบันมีราคาแสนถูก และถ้าไม่ลำบากเงินในกระเป๋าจนเกินไปเลือกรุ่นที่จุ 128MB ขึ้นไปจะดีมาก

8. เทขยะอย่าให้เหลือไฟล์ตกค้าง
เมื่อคุณกดปุ่ม Delete เพื่อลบไฟล์ ซึ่งในทางปฏิบัติดูเหมือนว่าไฟล์ข้อมูลของคุณจะถูกลบออกไป แต่ในทางทฤษฎีนั้นไฟล์ของคุณจะยังไม่ถูกลบออกไปจริงๆ เพียงแต่วินโดว์สจะทำเครื่องหมายไว้ในพื้นที่ส่วนนั้นๆ ว่าเป็นที่ว่างและเมื่อใดที่มีการเขียนไฟล์ข้อมูลก็สามารถเขียนทับตำแหน่งนั้นๆ ได้ นอกจากนี้วินโดว์สจะนำไฟล์ที่คุณลบไปใส่ไว้ในถังขยะ (Recycle Bin) เผื่อกรณีที่คุณเกิดเปลี่ยนใจหรือตัดสินใจพลาด หากใครช่างสังเกตจะพบว่าแม้จะลบไฟล์ข้อมูลไปแล้วแต่พื้นที่ว่างในอาร์ดดิสก์นั้นไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด ทั้งนี้ก็เพราะข้อมูลนั้นๆ ยังนอนรอชะตากรรมอยู่ในถังขยะ (Recycle Bin) นั่นเอง ดังนั้นหากคุณมั่นใจว่าไม่ใช้งานแล้ว หรือไม่ต้องการให้ใครมาแอบคุ้ยถังขยะเอาข้อมูลส่วนตัวของคุณไป แนะให้คลิกขวาที่ไอคอน Recycle Bin แล้วเลือกคำสั่ง Empty Recycle Bin เพื่อกำจัดขยะในถังให้สิ้นซาก

9. แบ่งพาร์ทิชันเพื่อเก็บข้อมูล
ฮาร์ดดิสก์โดยทั่วไปที่ออกมาจากโรงงานนั้นจะไม่มีการแบ่งพาร์ทิชันเอาไว้ หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ คือซื้อ 80GB ก็จะได้ไดรฟ์ C: ความจุ 80GB มาใช้งาน แต่ถ้าจะให้ดี แนะนำให้คุณทำการแบ่งฮาร์ดดิสก์ออกเป็นส่วนๆ หรือที่เรียกว่าการแบ่งพาร์ทิชันนั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น ฮาร์ดดิสก์ 80GB นำมาแบ่งเป็น 2 พาร์ทิชัน พาร์ทิชันละ 40GB ซึ่งคุณก็จะได้ไดรฟ์มาใช้งาน 2 ไดรฟ์คือไดรฟ์ C: และไดรฟ์ D: ซึ่งการแบ่งพาร์ทิชันนอกจากจะช่วยลดภาระของหัวอ่านและเพิ่มความเร็วในการทำงานของฮาร์ดดิสก์แล้ว คุณยังสามารถแยกไฟล์สำคัญๆ มาเก็บไว้ในไดรฟ์แยกต่างหากจากไดรฟ์ที่ติดตั้งวินโดว์สซึ่งอาจโดนไวรัสเล่นงานจนเสียหายได้อีกด้วย ซึ่งการแบ่งพาร์ทิชันนั้นคุณสามารถทำได้ในขณะที่ติดตั้ง Windows XP เลย แต่ถ้าไม่ได้ทำก็ไม่เป็นไรเพราะปัจจุบันมีโปรแกรมสำหรับการนี้มากมายซึ่งที่นิยมใช้กันมากที่สุดได้แก่โปรแกรม Partition Magic

10. เลือกความเร็วให้เหมาะกับงาน
วิธีการที่ผ่านมานั้นสามารถช่วยให้ฮาร์ดดิสก์ของคุณสามารถทำงานได้เร็วขึ้นได้อีกเล็กน้อย อย่างไรก็ดี หากคุณกำลังมองหาหรือตัดสินใจซื้อฮาร์ดดิสก์ใหม่ แนะนำให้พิจารณาเลือกรุ่นความเร็วที่เหมาะสมกับลักษณะงานที่คุณต้องการใช้งาน เช่น เลือกรุ่นที่มีความเร็วในการหมุนจานมารดาเหล็ก 5,400 RPM (รอบ/นาที) ที่มีราคาถูกถ้าคุณใช้เพียงโปรแกรมทั่วๆ ไปเช่น เล่นอินเทอร์เน็ต รับ-ส่งอีเมล์ หรือพิมพ์งานด้วยโปรแกรมเวิร์ด หรือถ้างานของคุณเกี่ยวกับการตกแต่งภาพถ่าย เล่นเกม ก็อาจเลือกซื้อรุ่น 7200 RPM หรืออาจจะเป็น 10,000 RPM เลยก็ได้หากทำงานประเภทตัดต่อวิดีโอเป็นหลัก ซึ่งฮาร์ดดิสก์ที่มีความเร็วในการหมุนจานมารดาเหล็กสูงและมีขนาดของแคชภายในมากจะช่วยเพิ่มความเร็วในการทำงานให้กับคุณมากยิ่งขึ้น


วันจันทร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2555

การเติมหมึก HP Brother Leser กับ การเติมหมึก Canon ink jet


วิธีเติมหมึก Laser HP Laserjet

วิธีเติมหมึก Laser HP Laserjet




วิธีการเติมหมึกคือ
1.  ถอดน็อตด้านข้าง ด้านที่มี chip ประมาณ 2 ตัวครับ
2.  หลังจากนั้นจะเห็นจุกสีขาวปิดช่องเติมหมึกอยู่ให้เอาจุกสีขาวออก
3.  เทหมึกของเก่าออกให้หมด แล้วเติมผงหมึกใหม่ลงไป
4.  เปลี่ยน chip ใหม่แล้วปิดฝาขันน็อตเป็นอันเสร็จเรียบร้อย
ถ้าจะให้ดีควรทำความสะอาดห้องเก็บหมึกเสียด้วยอยู่ด้านบนชุดดรัมขันน็อต 2 ตัวเหมือนกัน



เติมหมึกและรีเซ็ท Brother TN-210/150

Brother HL-3040/4040 HL-4040CN/ HL-4050CN/ DCP-9040CN/ MFC-9440CN/ MFC-9840CDW/ DCP- 9042CDN/ MFC-9450CDN/HL-3040CN / HL-3070CW / MFC-9010CN / MFC-9120CN / MFC-9320CN


1.ตลับหมึกสองรุ่นนี้ทั้ง  TN-210 และ 150 สามารถเปิดจุกเติมได้ โดยต้องเอาผงหมึกเก่าออกให้หมดก่อนเติมเพื่อให้ผงหมึกไม่ปนกัน

2. ขั้นตอนการรีเซ็ท (สำหรับตลับที่มีเฟืองรีเซ็ท) สามารถรีเซ็ทได้โดยปรับเลื่อนเฟืองที่ตลับหมึก
 
3.  ถอดฝาด้านข้างตลับหมึกออก จะเห็น Flag gear ที่มีสปริงติดอยู่
4. ปรับเลื่อนเฟืองและสปริงให้อยู่ตำแหน่งดังภาพ


***หากตลับที่ไม่มีเฟือง สามารถรีเซ็ทได้ที่ตัวเครื่องโดยทำขั้นตอน ดังนี้
1. เปิดฝาเครื่องด้านหน้าออก (เครื่องจะขึ้นว่า Cover open )
2. กดปุ่ม Cancel ค้างไว้
3. กดปุ่ม Reprint - จะมีข้อความขึ้นว่า Reset part life
4. ขั้นตอนต่อไปเลือกตลับ(สี) ที่จะรีเซ็ท
    B.TNR-S  รีเซ็ทตลับสีดำ   ให้กดเครื่องหมาย  ^
       C.TNR-S  รีเซ็ทตลับสีฟ้า   ให้กดเครื่องหมาย  ^
    M.TNR-S  รีเซ็ทตลับแดง   ให้กดเครื่องหมาย  ^
    Y.TNR-S  รีเซ็ทตลับเหลือง   ให้กดเครื่องหมาย  ^
5. กดปุ่ม Cancel เพื่อออกจากเมนู
6. ปิดฝาหน้าเครื่อง

  วิธีการเติมหมึกตลับหมึก Canon PG810 and Canon CL811 cartridge
       Canon Pixma ip2770, Mp258, MP245, MP268, MP276, MP486, MP496
  
   Follow this steps:
   1. Remove the sticker on the print cartridge /แกะสติกเกอร์ออก
   2. Verify each colour on the cartridge / เทียบตำแหน่งหมึกดำและสีตามรูป
   
3. Drill a hole in the cartridge / เจาะรูให้ได้ขนาดใหญ่กว่าเข็ม ตามตำแหน่งของสี
   
4. Refill the cartridge according to correct colour / หมึกดำเติม 5 ซีซ๊. -หมึกสีเติมสีละ 3 ซีซี.เวลาเติมหมึกให้กดซริงค์ช้าๆ ป้องกันการล้นตัวของหมึกจากแรงดันอากาศ
   
.

วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2555

งานบริการคอมพิวเตอร์

การติดตั้ง Windows XP Professional พร้อมตัวอย่างตั้งแต่เริ่มต้น

การติดตั้งระบบปฏิบัติการ Windows XP โดยปกติ จะสามารถทำได้ 2 แบบคือ การติดตั้งโดยการอัพเกรดจาก Windows ตัวเดิม หรือทำการติดตั้งใหม่เลยทั้งหมด สำหรับตัวอย่างในที่นี้ จะขอแนะนำวิธีการ ขั้นตอนการติดตั้ง Windows XP แบบลงใหม่ทั้งหมด ซึ่งความเห็นส่วนตัว น่าจะมีปัญหาในการใช้งานน้อยกว่าแบบอัพเกรดครับ
วิธีการติดตั้ง Windows XP ยังสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 แบบดังนี้
1. ติดตั้งแบบอัพเกรดจาก Windows ตัวเดิม โดยใส่แผ่น CD และเลือกติดตั้งจาก CD นั้นได้เลย
2. ติดตั้งโดยการบูตเครื่องใหม่จาก CD ของ Windows XP Setup และทำการติดตั้ง
3. ติดตั้งจากฮาร์ดดิสก์ โดยทำการ copy ไฟล์ทั้งหมดจาก CD ไปเก็บไว้ในฮาร์ดดิสก์ ก่อนทำการติดตั้ง
เพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ ในขั้นตอนการติดตั้งระบบ Windows XP ตรงนี้ จะขอแสดงตัวอย่างการติดตั้ง โดยการบูตจากแผ่น CD ของ Windows XP Setup ครับ โดยก่อนที่จะทำการติดตั้ง ก็ให้ทำการสำรองข้อมูลต่าง ๆ ไว้ให้เรียบร้อย จัดการแบ่ง พาร์ติชั่น (ถ้าจำเป็น) และทำการ format ฮาร์ดดิสก์ให้เรียบร้อยก่อน นอกจากนี้ ไม่ควรลืมการเตรียม Driver ของอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เป็นของ Windows XP ไว้ด้วยครับ ดูรายละเอียดและวิธีการต่าง ๆ ตามลิงค์ต่อไปนี้

ในการแบ่งพื้นที่ฮาร์ดดิสก์ แนะนำให้ทำการวางแผนประมาณขนาดพื้นที่ไว้ล่วงหน้าด้วย โดยทั่วไปก็ไม่ควรจะใช้พื้นที่ต่ำกว่า 3G. และเนื่องจากระบบ Windows XP สามารถที่จะสร้างเมนู Multi Boot ได้หลังจากที่ติดตั้งไปแล้ว โดยยังสามารถเลือกเมนูว่า จะเรียก Windows ตัวเดิมหรือจะเรียก Windows XP ก็ได้ ดังนั้น หลาย ๆ ท่านมักจะแบ่งพื้นที่ไว้ลง Windows 98 ที่ Drive C: ประมาณ 5G. และเผื่อไว้สำหรับ Windows XP ที่ Drive D: อีกประมาณ 5G. ที่เหลือก็จะเป็น Drive E: สำหรับเก็บข้อมูลอื่น ๆ ทั่วไป แต่ถ้าหากลง Windows เพียงแค่ตัวเดียว ก็ไม่จำเป็นครับ
การตั้งค่าใน BIOS ก่อนทำการติดตั้ง Windows XP ใหม่จะต้องทำการ Disable Virus Protection ใน BIOS ซะก่อน เพราะว่าเมนบอร์ดบางรุ่นจะมีการป้องกัน Virus โดยการป้องกันการเขียนทับในส่วนของ Boot Area ของฮาร์ดดิสก์ ซึ่งเท่าที่เคยเห็นมา เครื่องคอมพิวเตอร์ปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่จะมีให้เลือกตั้งค่านี้อยู่แล้ว ถ้าหากเครื่องของใครไม่มีก็ไม่ต้องตกใจ เพราะเมนบอร์ด บางรุ่นอาจจะไม่มีก็ได้ วิธีการก็คือ

  • เริ่มจากการเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ใหม่ ขณะที่เครื่องกำลังทำ Memory Test หรือนับ RAM อยู่นั่นแหละ ด้านล่างซ้ายมือจะมีคำว่า Press DEL to enter SETUP ให้กดปุ่ม DEL บน Keyboard เพื่อเข้าสู่เมนูของ Bios Setup (แล้วแต่เมนบอร์ด ด้วยบางทีอาจจะใช้ปุ่มอื่น ๆ สำหรับการเข้า Bios Setup ก็ได้ลองดูให้ดี ๆ) จากนี้ก็แล้วแต่ว่าเครื่องของใคร จะขึ้นเมนูอย่างไร คงจะไม่เหมือนกันแต่ก็ไม่แตกต่างกันมากนัก จากนั้นให้มองหาเมนู Bios Features Setup ส่วนใหญ่จะเป็นเมนูที่สอง ใช้ปุ่มลูกศรเลื่อนแถบลงมาแล้วกด ENTER ถ้าใช่จะมีเมนูของ Virus Warning หรือ Virus Protection อะไรทำนองนี้ ถ้าหากเป็น Enable อยู่ละก็ให้เปลี่ยนเป็น Disable โดยเลื่อนแถบแสงไปที่เมนูที่เราต้องการใช้ปุ่ม PageUp หรือ PageDown สำหรับเปลี่ยนค่าให้เป็น Disable
  • กดปุ่ม ESC เพื่อกลับไปเมนูหลักของ Bios Setup มองหาเมนูของ SAVE TO CMOS AND EXIT หรืออะไรทำนองนี้เลื่อนแถบแสงไปเลยแล้วกด ENTER ถ้าหากเครื่องถามว่าจะ Save หรือไม่ก็ตอบ Y ได้เลย หลังจากนี้เครื่องจะทำการ Reboot ใหม่อีกครั้ง ใส่แผ่น Startup Disk ที่เราทำไว้ตามขั้นตอนแรกรอไว้ก่อนเลย
มาดูขั้นตอนตั้งแต่เริ่มต้น การติดตั้ง Windows XP กันเลยครับ
เริ่มต้น โดยการเซ็ตให้บูตเครื่องจาก CD-Rom Drive ก่อน โดยการเข้าไปปรับตั้งค่าใน bios ของเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยเลือกลำดับการบูต ให้เลือก CD-Rom Drive เป็นตัวแรกครับ (ถ้าหากเป็นแบบนี้อยู่แล้ว ก็ไม่ต้องเปลี่ยนอะไร)

ทำการปรับเครื่อง เพื่อให้บูตจาก CD-Rom ก่อน จากนั้นก็บูตเครื่องจากแผ่นซีดี Windows XP Setup โดยเมื่อบูตเครื่องมา จะมีข้อความให้กดปุ่มอะไรก็ได้ เพื่อบูตจากซีดีครับ ก็เคาะ Enter ไปทีนึงก่อน

โปรแกรมจะทำการตรวจสอบและเช็คข้อมูลอยู่พักนึง รอจนขึ้นหน้าจอถัดไปครับ

เข้ามาสู่หน้า Welcome to Setup กดปุ่ม Enter เพื่อทำการติดตั้งต่อไป

หน้าของ Licensing Agreement กดปุ่ม F8 เพื่อทำการติดตั้งต่อไป

ทำการเลือก Drive ของฮาร์ดดิสก์ที่จะลง Windows XP แล้วกดปุ่ม Enter เพื่อทำการติดตั้งต่อไป

เลือกชนิดของระบบ FAT ที่จะใช้งานกับ Windows XP หากต้องการใช้ระบบ NTFS ก็เลือกที่ข้อบน แต่ถ้าจะใช้เป็น FAT32 หรือของเดิม ก็เลือกข้อสุดท้ายได้เลย (no changes) ถ้าไม่อยากวุ่นวาย แนะนำให้เลือก FAT32 นะครับ แล้วกดปุ่ม Enter เพื่อทำการติดตั้งต่อไป

โปรแกรมจะเริ่มต้นขั้นตอนการติดตั้ง รอสักครู่ครับ

หลังจากนั้น โปรแกรมจะทำการ Restart เครื่องใหม่อีกครั้ง (ให้ใส่แผ่นซีดีไว้ในเครื่องแบบนั้น แต่ไม่ต้องกดปุ่มใด ๆ เมื่อบูตเครื่องใหม่ ปล่อยให้โปรแกรมทำงานไปเองได้เลยครับ)

หลังจากบูตเครื่องมาคราวนี้ จะเริ่มเห็นหน้าตาของ Windows XP แล้วครับ รอสักครู่

โปรแกรมจะเริ่มต้นขั้นตอนการติดตั้งต่าง ๆ ก็รอไปเรื่อย ๆ ครับ

จะมีเมนูของการให้เลือก Regional and Language ให้กดปุ่ม Next ไปเลยครับ ยังไม่ต้องตั้งค่าอะไรในช่วงนี้

ใส่ชื่อและบริษัทของผู้ใช้งาน ใส่เป็นอะไรก็ได้ แล้วกดปุ่ม Next เพื่อทำการติดตั้งต่อไป

ทำการใส่ Product Key (จะมีในด้านหลังของแผ่นซีดี) แล้วกดปุ่ม Next เพื่อทำการติดตั้งต่อไป

หน้าจอให้ใส่ Password ของ Admin ให้ปล่อยว่าง ๆ ไว้แบบนี้แล้วกดปุ่ม Next เพื่อทำการติดตั้งต่อไป

เลือก Time Zone ให้เป็นของไทย (GMT+07:00) Bangkok, Hanoi, Jakarta แล้วกดปุ่ม Next เพื่อทำการติดตั้งต่อไป

รอครับ รอ รอ รอสักพัก จนกระทั่งขั้นตอนต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อย ก็พร้อมแล้วสำหรับการเข้าสู่ระบบปฏิบัติการ Windows XP ครับ จากนั้น จะมีการบูตเครื่องใหม่อีกครั้ง เพื่อเริ่มต้นการใช้งานจริง ๆ

บูตเครื่องใหม่คราวนี้ อาจจะมีเมนูแปลก ๆ แบบนี้ เป็นการเลือกว่า เราจะบูตจากระบบ Windows ตัวเก่าหรือจาก Windows XP ครับ ก็เลือกที่ Microsoft Windows XP Professional ครับ ถ้าของใครไม่มีเมนูนี้ก็ไม่เป็นไรนะครับ

เริ่มต้นบูตเครื่อง เข้าสู่ระบบปฏิบัติการ Windows XP แล้วครับ

ในครั้งแรก อาจจะมีการถามเรื่องของขนาดหน้าจอที่ใช้งาน กด OK เพื่อให้ระบบตั้งขนาดหน้าจอให้เราได้เลยครับ นอกจากนี้ ถ้าหากเครื่องไหนมีการถาม การติดตั้งค่าต่าง ๆ ก็กดเลือกที่ Next หรือ Later ไปก่อน บางครั้งอาจจะมีให้เราทำการสร้าง Username อย่างน้อย 1 ฃื่อก่อนเข้าใช้งาน ก็ใส่ชื่อของคุณเข้าไปได้เลย

เสร็จแล้วครับ หน้าตาของการเข้า Windows XP สวยดีครับ




วันพฤหัสบดีที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2554





บทที่9 การติดตั้ง PC-Cillin 2000 โปรแกรมสำหรับป้องกันไวรัสบน คอมพิวเตอร์




การติดตั้ง PC-Cillin 2000 โปรแกรมสำหรับป้องกันไวรัสบน คอมพิวเตอร์

จากที่ได้ทำการแนะนำ
การติดตั้ง McAfee โปรแกรมสำหรับการป้องกันไวรัสบน คอมพิวเตอร์ ไปแล้ว ซึ่งจากการใช้งานทั่ว ๆ ไป ตัวโปรแกรม McAfee ก็สามารถทำงานได้ดีในระดับหนึ่ง แต่เมื่อได้ทำการทดลองใช้งาน โปรแกรม PC-Cillin 2000 ในการป้องกันไวรัส คอมพิวเตอร์ต่าง ๆ พบว่า ตัวโปรแกรม PC-Cillin นี้ มีข้อดีกว่า McAfee คือ เป็นโปรแกรมป้องกันไวรัสที่ ไม่ไปโหลดการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์มากนัก ไม่ทำให้เครื่องช้าลง และการอัพเดตข้อมูลไวรัส ทำได้ง่ายและรวดเร็วกว่ามาก และที่สำคัญ สามารถทำการตรวจสอบไวรัสที่มีมากับอีเมล์ได้ด้วย ดังนั้น ตรงนี้จึงขอเสนอและแนะนำการติดตั้ง PC-Cillin 2000 โปรแกรมป้องกันไวรัส อีกตัวหนึ่งที่น่าจะทดลองใช้งานกันครับ ข้อมูลเพิ่มเติมของโปรแกรมนี้ สามารถหาได้จาก http://www.antivirus.com/
เริ่มต้นจากการหา ดาวน์โหลด PC-Cillin 2000 มาก่อน และเริ่มต้นขั้นตอนการติดตั้ง โดยการคลิกเปิดไฟล์ pcc2k.exe เพื่อเริ่มขั้นตอนการติดตั้ง ตามตัวอย่างในรูป

หลังจากเรียกไฟล์สำหรับทำการติดตั้ง จะได้หน้าจอตามภาพ กดที่ปุ่ม Next เพื่อทำการติดตั้งต่อไป

จะได้หน้าจอตามภาพด้านบน กดที่ปุ่ม Yes เพื่อทำการติดตั้งต่อไป

โปรแกรมจะทำการตรวจสอบและค้นหาไวรัส ที่อาจจะมีอยู่ในเครื่องก่อน ให้รอสักครู่ จนเสร็จขั้นตอนนี้

หลังจากที่โปรแกรมทำการตรวจสอบว่าเครื่องไม่มีไวรัสแล้ว ให้กดที่ปุ่ม OK เพื่อทำการติดตั้งต่อไป

จะได้หน้าจอตามภาพด้านบน ใส่ชื่อและ Serial No. ของโปรแกรม (code ใส่ตามตัวอย่างในภาพด้านบนก็ได้) กดที่ปุ่ม Next เพื่อทำการติดตั้งต่อไป

จะได้หน้าจอตามภาพด้านบน เลือก Folder ที่จะลงโปรแกรม ถ้าไม่เลือกก็กดที่ปุ่ม Next เพื่อทำการติดตั้งต่อไป

จะได้หน้าจอตามภาพด้านบน กดที่ปุ่ม Next เพื่อทำการติดตั้งต่อไป

เลือกส่วนประกอบต่าง ๆ ที่ต้องการติดตั้ง ขอแนะนำให้เลือกทั้งหมด กดที่ปุ่ม Next เพื่อทำการติดตั้งต่อไป

จะได้หน้าจอตามภาพด้านบน กดที่ปุ่ม OK เพื่อทำการติดตั้งต่อไป

จะได้หน้าจอตามภาพด้านบน กดที่ปุ่ม Next เพื่อทำการติดตั้งต่อไป

จะได้หน้าจอตามภาพด้านบน ตรงนี้เป็นส่วนของการสร้าง Emergency Recuse Disks ซึ่งไม่จำเป็นต้องทำก็ได้ ให้กดที่ปุ่ม Cancel เพื่อทำการติดตั้งต่อไป

จบขั้นตอนการติดตั้งโปรแกรม จะได้หน้าจอตามภาพด้านบน กดที่ปุ่ม Finish

หลังจากนั้น เมื่อเรียกใช้งานโปรแกรมครั้งแรก จะมีเมนูถามการ Register ตรงนี้ เราอาจจะทำการ Register ไปเลยก็ได้ หรืออาจจะทำภายหลัง ในที่นี้ ขอแนะนำให้ทำการ Register ไปเลย โดยการใส่ชื่อและอีเมล์ของคุณ หรือถ้าหากไม่ต้องการใช้ชื่อจริง ก็อาจจะใส่ชื่อและอีเมล์อะไรก็ได้ลงไปครับ และกดที่ปุ่ม Register Now

เมื่อเสร็จสิ้นการติดตั้งโปรแกรม จะมีเมนูถามให้ทำการ Restart เครื่องคอมพิวเตอร์อีกครั้ง ก็กดที่ปุ่ม OK เพื่อทำการ Restart เครื่องคอมพิวเตอร์ใหม่ เท่านี้เป็นอันเสร็จทุกขั้นตอนการติดตั้ง PC-Cillin 2000 สำหรับป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์ และอย่าลืมว่า เราควรจะทำการอัพเดตข้อมูลของ ไวรัส บ่อย ๆ ด้วยเพื่อให้โปรแกรมรู้จักกับไวรัส ชนิดใหม่ ๆ ได้ด้วยนะครับ
การดูแลรักษา อายุการใช้งานของอุปกรณ์/ชิ้นส่วนต่างๆ ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์


1.ซีพียู (CPU: Central Processing Unit)
โดยปกติซีพียูเป็นอุปกรณ์/ชิ้นส่วนที่เสียหายยากมากจากการใช้งานปกติ ซึ่งซีพียูอาจจะทำงานได้นานมากจนเราเลิกใช้เครื่องไปเลย แต่ถ้าเราโชคร้ายโดยถูกผู้ผลิตนำซีพียูทีมีความเร็วต่ำมาหลอกขายว่าเป็นซีพียูความเร
็วสูง (CPU Remark) หรือทำการ PUSH ให้ซีพียูทำงานเร็วกว่าความเร็วที่กำหนดให้ ทำให้อายุการใช้งานของซีพียูสั้นลงกว่าปกติ อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อายุการใช้งานซีพียูสั้นลงก็คือ พัดลมระบายอากาศ (Ventilation Fan) ที่ติดตั้งอยู่ที่ชุดจ่ายไฟฟ้า (Power Supply) ของคอมพิวเตอร์เสีย ทำให้ซีพียูต้องทำงานที่ความร้อนสูงตลอดเวลา ถ้าซีพียูเสียก็ต้องซื้อใหม่อย่างเดียว ไม่สามารถทำการซ่อมหรือแก้ไขได้

2.เมนบอร์ด (Mainboard or Motherboard)
เป็นอุปกรณ์ที่มี Chip ควบคุมการทำงานของอุปกรณ์อื่นๆ ของเครื่องคอมพิวเตอร์ และเป็นทั้งตัวรับและจ่ายไฟให้กับ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ บนเมนบอร์ด ซึ่งถ้ามีอุปกรณ์สำรองไฟฟ้า (UPS) ก็จะช่วยให้การทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นไปอย่างราบรื่นสม่ำเสมอ และไม่ทำให้อุปกรณ์อื่นๆ ชำรุดเสียหาย ในกรณีที่เกิดไฟตกไฟกระชากอีกด้วย

3.จอภาพ (Monitor)
จอภาพโดยทั่วไปมักจะมีอายุการใช้งานประมาณส่วนใหญ่ ประมาณ 1-3 ปี เนื่องจากหลอดภาพของแต่ละรุ่นยี่ห้อนั้น จะมีคุณภาพแตกต่างกันไปตาม แต่ละบริษัทผู้ผลิต ไม่ควรตั้งจอไว้ใกล้บริเวณที่มีสนามแม่เหล็กมากจนเกินไป และไม่ควรเช็ดหน้าจอด้วยน้ำยาหรือสารอย่างอื่นๆ ที่ไม่ได้ระบุไว้สำหรับทำความสะอาดจอภาพนั้นๆ

4.การ์ดแสดงผล (Display Card)
โดยทั่วไปการใช้งานในช่วง 1 ปีแรก มักจะไม่ค่อยมีปัญหา ส่วนใหญ่จะใช้งานไปได้ถึง 3 ปี โดยไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าเราเลือกใช้การ์ดแสดงผลราคาถูก ก็อาจจะมีปัญหาบ้างในปีแรก แต่ก็ไม่มากนัก แต่ถ้าเป็นการ์ดแสดงผลยี่ห้อดังๆ จากอเมริกาที่มีราคาแพง จะมีความเร็วในการแสดงผลสูง มีลูกเล่นมากกว่า และมีการออกไดรเวอร์ออกมาอย่างต่อเนื่อง

5.เมาส์ (Mouse)
เป็นอุปกรณ์ Input ที่ใช้สำหรับป้อนข้อมูลคำสั่งเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ ภายในเม้าส์ จะประกอบไปด้วยลูกกลิ้งและฟันเฟือง ซึ่งสามารถถอดออกมาและทำความสะอาด เนื่องจากลูกกลิ้งจะสะสมเอาสิ่งสกปรกต่างๆ ไว้ภายในเม้าส ทำให้ลูกกลิ้งไม่สามารถที่จะเคลื่อนที่ไปได้โดยอิสระ

6.แป้นพิมพ์ (Keyboard)

การป้อนข้อมูลจำนวนมากทุกวัน หรือเอาแป้นพิมพ์ไปใช้เล่นเกมส์ จะพบว่าปุ่มบางปุ่มจะเสียตั้งแต่ยังไม่ครบปี อายุการใช้งานของแป้นพิมพ์จะผ่านปีแรกและปีที่สองไปได้ อย่างสบาย แต่ถ้าแป้นพิมพ์เกิดเสียหลังจากปีแรก ซึ่งเลยระยะรับประกันแล้ว ไม่ควรซ่อม ให้ซื้อใหม่จะดีกว่า นอกจากนี้ยังมีแป้นพิมพ์ที่มีราคาแพงเกินหนึ่งพันบาทขึ้นไป เช่น ไมโครซอฟต์คีย์บอร์ด หรือคีย์บอร์ดของไอบีเอ็ม แป้นพิมพ์เหล่านี้จะมีรูปทรงถูกสุขลักษณะ ไม่ทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยข้อมือ มีความทนทานสูงและตอบสนองต่อการกดแป้นพิมพ์จะดีกว่าแป้นพิมพ์ราคาถูก

7.ฮาร์ดดิสก์ (Harddisk)
ฮาร์ดดิสก์เป็นหน่วยความจำสำรอง หรือสื่อบันทึกข้อมูลภายนอกที่มีความจุสูง ฮาร์ดดิสก์จะถูก
บรรจุอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ให้อยู่แล้ว ฮาร์ดดิสก์ในสมัยเริ่มแรกมีความจุเพียง 20-80เมกะไบต์ และต่อมาฮาร์ดดิสก์ได้พัฒนาให้มีความจุสูงขึ้น และมีความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลที่สูงขึ้นด้วย ซึ่งในปัจจุบันฮาร์ดดิสก์ที่มีขายทั่วไปในท้องตลาดมีความจุมากกว่า 1 กิกะไบต์ทั้งสิ้น และมักจะมีอายุการประกันตั้งแต่ 1-3 ปี ซึ่งเมื่อฮาร์ดดิสก์เสียในช่วงเวลาดังกล่าว ก็ต้องส่งไปซ่อมกับร้านที่ซื้อมา โดยทั่วไปฮาร์ดดิสก์จะมีอายุการใช้งานอย่างต่ำ 3 ปี แต่อย่างไรก็ตาม ฮาร์ดดิสก์ก็อาจจะเสียได้ตลอดเวลา ดังนั้น เราควรสำรองข้อมูลในฮาร์ดดิสก์เอาไว้อย่างสม่ำเสมอ เพื่อเวลาที่ฮาร์ดิสก์เสีย ข้อมูลก็จะยังไม่สูญหายไป ข้อควรระวังก็คือ ในเรื่องของไฟตกไฟชากซึ่งจะมีผลต่อ Harddisk อาจทำให้เกิดความเสียหายได้

8.ดิสก์ไดร์ฟ (Disk Drive)

ดิสก์ไดร์ฟ เป็นอุปกรณ์ที่ใช้อ่านและเขียนข้อมูลลงในแผ่นฟลอปปีดิสก์ ซึ่งดิสก์ไดร์ฟก็มีหลายชนิด
แต่ในปัจจุบันเครื่องคอมพิวเตอร์ทั่วๆไปมักจะใช้ดิสก์ไดร์ฟขนาด 3.5 นิ้ว การใช้งานดิสก์ไดร์ฟโดยทั่วไปไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไรนัก ถ้าผ่านปีแรกไปได้แล้วก็มักจะผ่านไปถึงปีที่ 3 ถ้าหากว่าดิสก์ไดร์ฟเสียในช่วงปีแรกก็สามารถส่งซ่อมหรือเปลี่ยนใหม่ แต่ถ้าเสียหลังจากปีแรกแล้ว ก็ควรที่จะซื้อเปลี่ยนใหม่ เพราะถ้าซ่อมจะไม่คุ้มค่า เพราะราคาดิสก์ไดร็ฟในปัจจุบันมีราคาถูกมาก

9.พัดลมระบายความร้อน
เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ประกอบภายในประเทศ มักจะใช้พัดลมระบายความร้อนที่มีราคาถูก และจะ
พบว่าส่วนใหญ่พัดลมจะเสียภายในเวลาไม่กี่เดือนเท่านั้น มีอยู่น้อยมากที่จะผ่านปีแรกไปได้โดยไม่เสีย พัดลมระบายความร้อนที่ใช้งานได้ดี ก็คงเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นเพนเทียมรุ่นที่มีพัดลมติดมาด้วย การเลือกใช้พัดลมระบายความร้อนต้องพยายามใช้ของดีมียี่ห้อ เพราะถ้าพัดลมระบายความร้อนเสีย จะทำให้ซีพียูร้อนจัด ทำให้เครื่องเกิดอาการแฮงก์ (Hang) โดยไม่ทราบสาเหตุ และทำให้อายุการใช้งานของซีพียูสั้นลง ถ้าพัดลมระบายความร้อนเสียต้องเปลี่ยนอย่างเดียว

10.ซีดีรอมไดร์ฟ (CD-Rom Drive)
ในปัจจุบันเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่มักจะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ในระบบมัลติมีเดีย
หรือเป็นสื่อผสม ซึ่งจะต้องใช้สื่อบันทึกข้อมูลที่สามารถบันทึกข้อมูลได้มากขึ้น ซึ่งจะมีข้อมูลทั้งภาพและเสียง ดังนั้น แผ่นซีดีรอมจึงเป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย เมื่อมีแผ่นซีดีรอมเครื่องคอมพิวเตอร์ก็จะต้องมีเครื่องผ่านแผ่นซีดีรอมที่เรียกว่า ซีดีรอมไดร์ฟ ข้อควรระวังก็คือ ไม่ควรนำแผ่นซีดี ที่เสียแล้ว หรือมีรอยขีดข่วนมากๆ มาอ่าน เพราะอาจทำให้หัวอ่านชำรุดได้ รวมถึงการใช้น้ำยาล้างหัวอ่านผิดประเภทด้วย

ใช้น้ำยาทำความสะอาดสำหรับเครื่องคอมฯ เช็ด บริเวณด้านนอก โดยอาจใช้พู่กันเล็กๆ ช่วยในการปัดฝุ่นออกเสียก่อน จากนั้นจึงใช้น้ำยาทำความสะอาดเช็คเครื่องคอมฯ ข้อควรระวัง! โดยปกติน้ำยาเหล่านี้ ห้ามเช็คหน้าจอ ถ้ามีฝุ่นหรือคราบนิ้วมือ ให้ใช้ผ้าสะอาดเช็ดก็เพียงพอแล้ว (ทิป น้ำยาทำความสะอาด โดยทั่วไป การใช้ควรใส่น้ำยาบนผ้าที่สะอาด จากนั้นลูบไปบริเวณตัวเครื่อง ทิ้งไว้สักพัก และค่อยเช็ดออก จะช่วยลดแรงในการขัดได้มาก)

มาดูการทำความสะอาดภายในเครื่องคอมพิวเตอร์บางคับ



สำรองข้อมูล

เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาของคอมพิวเตอร์ ที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกขณะ การสำรองข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดปัญหาของคุณได้มากทีเดียว การสำรองข้อมูลอาจสำรองลงแผ่น ดิสก์, ซีดี หรืออาจแบ่ง partition ในฮาร์ดดิกส์ แล้วทำรองไว้ ทั้งนี้คงขึ้นกับกำลังเงินที่เรามีอยู่

ทำความสะอาดแผงวงจร


ปัญหาอย่างหนึ่งที่สำคัญที่ทำให้คอมพิวเตอร์เกิดเสียหายได้ นั่นคือ ความชื้นและฝุ่นละอองที่เกาะตามอุปกรณ์ต่าง ๆ ดังนั้น เราจึงควรทำความสะอาดบ้างอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง ทั้งนี้ขึ้นกับสถานที่ที่ติดตั้งคอมฯ ว่าอยู่ในพื้นที่ที่มีฝุ่นละอองมากน้อยเพียงใด การทำความสะอาด จำเป็นต้องต้องเปิดฝาเครื่อง จากนั้นให้ใช้เครื่องเป่าผม หรือเครื่องดูดฝุ่น (ขนาดเล็ก) ใช้เป่า หรือดูดฝุ่นออกมา ระวังเวลาดูดหรือเปล่า อย่าเข้าใกล้แผงวงจรมากนัก
ตรวจสอบฮาร์ดดิสก์


ฮาร์ดดิสก์เป็นอุปกรณ์ที่ในการจัดเก็บข้อมูลและโปรแกรมที่ถูกใช ้งานมากที่สุด ดังนี้เราจึงควรมีการตรวจสอบ ฮาร์ดดิสก์เป็นประจำอยู่เสมอ โดยใช้โปรแกรมตรวจสอบ เช่น ลบขยะภายในเครื่อง Disk Cleanup, ตรวจสอบดิสก์ Scandisk และ จัดเรียงข้อมูลในดิสก์ Disk Defregment (อย่างน้อยเดือนละครั้ง)
การติดตั้งหน่วยความจำ แรม


1. เตรียมแรมที่จะติดตั้งลงในสล็อตและมองหาตำแหน่งสล็อต
บนเมนบอร์ด







2. วางแรมให้ถูกด้านโดยให้รอยบากตรงกับคันล็อก ในช่องเสียบ(สล็อต)





3. ดันแรมลงไปตรง ๆ จนสุด ซึ่งจะสังเกตเห็นว่า แขนล็อค
กระดกกลับมาล็อคปลายแรมทั้งสองข้างพอดี

การติดตั้งฮาร์ดดิสก์


1. เตรียม ฮาร์ดดิสก์ไว้สำหรับติดตั้ง




2. ด้านหลังฮาร์ดิสก์ ต้องกำหนดจัมเปอร์ให้ถูกต้อง
ก่อนการติดตั้ง แต่โดยส่วนใหญ่จะถูกกำหนดเป็น Masterในฮาร์ดดิสก์
ตัวแรก




3. ใส่ฮาร์ดดิสก์เข้าไปในช่องบรรจุไดร์ฟและดันเข้าไปให้สุด
โดยให้สังเกตที่ด้านข้างตัวฮาร์ดดิสก์ ว่ารูสำหรับขันน็อตตรงกับรูของช่อง
บรรจุไดร์ฟ





4. ขันยึดน็อตเพื่อยึดฮาร์ดดิสก์เข้ากับตัวเคสให้แน่น โดยให้ขันยึด
ทั้งสองด้าน